การตั้งคำถาม การตั้งคำถามเป็นหนึ่งในทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพราะมันช่วยให้คุณสามารถเข้าใจมุมมองของคนอื่น มองเห็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้น ยกระดับการตัดสินใจ และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ในการพัฒนาทักษะนี้ คุณสามารถทำได้โดยการทบทวนคำถามที่มีการถกกันระหว่างการประชุมว่ามันเป็นคำถามปลายเปิดหรือไม่ เป็นการถามด้วยถ้อยคำที่ชวนให้ตอบหรือไม่ หากเป็นคำถามที่ต้องการข้อเท็จจริงมีการเรียบเรียงที่ชัดเจนและตรงประเด็นหรือไม่ การทบทวนคำถามต่างๆ อีกครั้งจะทำให้คุณสามารถตั้งคำถามเพื่อมองหาคำตอบที่ต้องการได้ดีขึ้น 4. การย่นระยะห่างระหว่างเจตนาและผลกระทบ เจตนาที่ไม่ชัดเจนและมีช่องว่างอาจส่งผลกระทบขึ้นหากเราแสดงออกหรือสื่อสารไม่เหมาะสม เพราะผู้ฟังอาจตีความเจตนาของเราผิดเพี้ยนไป ปัญหานี้อาจเกิดจากการแสดงออกเฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการจากมุมของตัวเอง โดยไม่มองในมุมของผู้อื่น หนึ่งในวิธีปรับปรุงทักษะนี้ก็คือ การถามเพื่อนร่วมงานว่าพวกเขาต้องการข้อมูลอะไรเพื่อทำงานให้สำเร็จ นอกจากนี้อาจลองเข้าร่วมอบรมในหลักสูตร Intent-Impact Gap eLearning เพื่อลดช่องว่างเหล่านี้ลงก็ได้เช่นกัน 5.
2) ความสามารถในการผลิตสื่อสร้างสรรค์ (Create Media Products) โดย (1) มีความรู้ความเข้าใจต่อการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์และเหมาะสมตามคุณลักษณะเฉพาะของตัวสื่อประเภทนั้นๆ และ (2) มีความรู้ความเข้าใจต่อการใช้สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนองต่อความแตกต่างในเชิงวัฒนธรรมอย่างรอบด้าน 3) การรู้ทันไอซีที (ICT: Information, Communication and Technology Literacy) ประกอบด้วย 3. 1) ประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Apply Technology Efficiency) โดย (1) ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อการวิจัย การจัดการองค์กร การประเมินและการสื่อสารทางสารสนเทศ (2) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (คอมพิวเตอร์, PDAs, Media Players etc. ) ในการสื่อสารและการสร้างเครือข่าย รวมทั้งการเข้าถึงสื่อทางสังคม (Social Media) ได้อย่างเหมาะสม (3) มีความรู้พื้นฐานในการประยุกต์ใช้ ICT ได้ตามกรอบแห่งคุณธรรมจริยธรรมที่มีข้อมูลหลากหลายรอบด้าน ขอขอบคุณ:
- การสื่อสาร องค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย 1. ผู้ส่งข่าวสาร ( Sender) 2. ข้อมูลข่าวสาร ( Message) 3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร ( Media) 4. ผู้รับข่าวสาร ( Receivers) 5.
สมาธิต้องมี จะพูด จะฟัง จะเขียน จะอ่านอะไร ต้องมีสมาธิ ถ้าจิตใจหลุดลอยไปคิดอย่างอื่น จะสื่อสารให้รู้เรื่องได้อย่างไร ในเมื่อสติไม่ได้พกมาด้วย เคยฟังการประชุมยาวๆ แล้วจิตหลุดบ้างมั้ย แล้วเมื่อโดนจี้ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่คุณไม่ได้ฟัง คุณจะตอบอย่างไร ในเมื่อไม่ได้ฟัง บางครั้งการที่เราพลาดการฟัง หรืออ่านอะไรไปโดยไร้ความละเอียด อาจทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ชำระเงินไปโดยไม่ได้อ่านสัญญาที่แนบมาโดยละเอียด เป็นต้น 3. การเลือกใช้คำ การเลือกใช้คำเป็นอะไรที่ต้องระมัดระวังสุดๆ ข้อความเดียวกัน แต่ใช้คำไม่เหมือนกัน หรือเลือกมุมในการสื่อสารผิดพลาดก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้อย่างใหญ่หลวง การเลือกใช้คำ ต้องพิจารณาถึงแบกกราวน์และวัฒนธรรมของผู้รับสารด้วย ควรรู้สักนิดว่าผู้รับวารของเรามีปมเด่น ด้อยในเรื่องใด หรือมาจากประเทศชาติบ้านเมืองที่ซีเรียสเร่องลำดับขั้น หรือความอาวุโสมากน้อยแค่ไหน การจะสื่อสารให้มัดใจคนหมู่มาก ต้องมีจิตวิทยาที่ดี หลีกเลี่ยงการใส่อารมณ์ที่ไม่เหมาะสมในขณะทำการสื่อสาร "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" จำไว้ 4. อวัจนะภาษานั้นสำคัญยิ่งเหนือสิ่งใด อวัจนะภาษาหมายถึงการสื่อสารที่แสดงออกโดยไม่ผ่านคำพูด หรือตัวอักษร เช่น การแสดงสีหน้าท่าทาง การเดิน ยืนนั่ง การสบตา เหล่านี้มีความหมายทั้งสิ้น ในบางครั้งคนที่เราคุยด้วยอาจพูดว่า "ใช่" แต่น้ำเสียง และแววตานั้นบอกว่า "ไม่ใช่" ก็ต้องตีความดูให้แน่ใจว่าหมายความอย่างไรกันแน่ โดยส่วนใหญ่แล้ว อวัจนะภาษาจะถ่ายทอดความเป็นจริงของจิตใจมากกว่าการพูด หรือตัวอักษร เพราะเป็นการสื่อสารสิ่งที่ออกมาจากใจ โดยที่ผู้ส่งสารอาจไม่ทันได้ระวังตัว ยกเว้นแต่เพียงบางคนที่เทพมากจริง ๆ ที่สามารถซ่อนอวัจนะภาษาของตัวเองไว้ลึกสุดใจได้ 5.
ความสามารถในการปรับสไตล์การสื่อสาร (Ability to Adapt Your Communication Style) ตามรายงานของ Economist Intelligence Unit การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมา อย่างการที่คนในทีมไม่สามารถลำดับความสำคัญได้ ซึ่งนี่จะเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในอนาคต ผู้นำควรรู้ว่าตนเองสื่อสารอยู่กับใคร เนื่องจากแรงจูงใจของพนักงานแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นผู้นำต้องทำการรู้และปรับการสื่อสารของตนเอง ซึ่งนี่จะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างอิทธิพล และสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้ 2. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ผู้นำที่ดีจะรู้ว่าเมื่อไรที่พวกเขาควรพูด และที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อไรที่พวกเขาควรฟัง ซึ่งนี่จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้นำคนนั้นมีความใส่ใจในความคิดเห็นแนวคิดและข้อเสนอของพนักงาน อีกทั้งเมื่อผู้นำผลักดันให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสนทนา การแสดงความคิดเห็น ไปจนถึงการตั้งคำถามเชิญชวนให้พวกเขาอธิบายรายละเอียด 3. ความโปร่งใส (Transparency) การที่ผู้นำสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเป้าหมาย โอกาส และความท้าทายของบริษัทให้คนในทีมเข้าใจ เขาสามารถสร้างความไว้วางใจระหว่างทีมงานและสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกว่ามีอำนาจ ในการแบ่งปันความคิดและทำงานร่วมกันได้ การที่คนในทีมได้รับทราบข้อผิดพลาด จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการทดลองอะไรใหม่ๆ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแก้ปัญหา โดยไม่กลัวผิดพลาด 4.
ลองเปลี่ยนกลยุทธ์ในการสื่อสารบ้าง เนื่องจากในชีวิตปกติของคนเรานั้นจะมีการสื่อสารกับกลุ่มคนหลากหลายกลุ่มอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่ทำงาน เจ้านาย เพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัว ซึ่งวิธีการพูดคุยกับแต่ละกลุ่มคนก็ย่อมแตกต่างกันออกไป ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้น คุณจึงควรเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนเทคนิคการสื่อสารให้เหมาะสมกับกลุ่มคนที่พูดด้วย เพื่อไม่ให้ดูเหินห่าง หรือดูสนิทสนมมากจนเกินไป 4. ฝึกฝนบ่อย ๆ ให้คุ้นชิน "Practice makes perfect" ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ ยิ่งสมบูรณ์แบบมากเท่านั้น คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงไปนัก ไม่มีใครเก่งหรือคล่องแคล่วมาตั้งแต่เกิด ทุกคนล้วนผ่านการฝึกฝนและเรียนรู้มาทั้งนั้น ไม่ว่าจะในเรื่องของการพูด การฟัง หรือการเขียนก็ตาม เพื่อให้เวลาที่ต้องสื่อสารจริง ๆ เป็นไปด้วยความราบรื่น เช่น ฝึกพูดต่อหน้ากระจกหรือกลุ่มเพื่อนเล็ก ๆ เป็นประจำ พอถึงเวลาที่คุณต้องออกไปพูดต่อหน้าคนจำนวนมากจะได้ไม่ตื่นเต้นหรือรู้สึกขัดเขินมาก 5.
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี (Information, Media and Technology Skills) ได้แก่ องค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้ 1) การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) ประกอบด้วย 1. 1) การเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศ (Access and Evaluate Information) โดย (1) เข้าถึงสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ด้านเวลา) และเกิดประสิทธิผล (แหล่งข้อมูลสารสนเทศ) และ (2) ประเมินสารสนเทศได้อย่างมีวิจารณญาณตามสมรรถนะที่เกิดขึ้น 1. 2) การใช้และการจัดการสารสนเทศ (Use and Manage Information) โดย (1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้สารสนเทศอย่างสร้างสรรค์และตรงกับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น (2) จัดการกับสารเทศได้อย่างต่อเนื่อง จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมายหลากหลาย และ (3) มีความรู้พื้นฐานที่จะประยุกต์ใช้สารสนเทศตามกรอบแห่งคุณธรรมจริยธรรมที่มีปัจจัยเสริมอยู่รอบด้าน 2) การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ประกอบด้วย 2. 1) ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อ (Analyze Media) โดย (1) เข้าใจวิธีการใช้และการผลิตสื่อเพื่อให้ตรงกับเป้าประสงค์ที่กำหนด (2) สามารถใช้สื่อเพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างของปัจเจกชน รู้คุณค่าและสร้างจุดเน้น รู้ถึงอิทธิพลของสื่อที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคสื่อ และ (3) มีความรู้พื้นฐานที่จะประยุกต์ใช้สื่อได้ตามกรอบแห่งคุณธรรมจริยธรรมที่มีปัจจัยเสริมอยู่รอบด้าน 2.
ยาง ย อย Coupling, 2024