1)ชายบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ตามมาตรา 1442 ให้สิทธิชายที่จะบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และหญิงคู่หมั้นก็จะต้องคืนของหมั้นและสินสอดให้แก่ชายด้วย เช่น หญิงคู่หมั้นเกิดวิกลจริต ยินยอมให้ชายอื่นร่วมประเวณีในระหว่างการหมั้น หน้าถูกน้ำร้อนลวกจนเสียโฉม ได้รับอันตรายสาหัสจนต้องถูกตัดแขนทั้งสองข้าง หรือเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรง เป็นต้น แต่การที่หญิงไม่ยอมให้ชายคู่หมั้นร่วมประเวณีด้วย ชายจะถือเป็นเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้นไม่ได้ เพราะหญิงยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องอยู่กินฉันสามีกับชาย (3.
สินสอด เป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส (มาตรา 1437 ว. 3) ลักษณะของสินสอดมีอยู่ 3 ประการ คือ 1. ต้องเป็นทรัพย์สิน การตกลงจะให้สินสอดนั้นจะต้องตกลงให้กันก่อนสมรส แต่ทรัพย์สินที่เป็นสินสอดซึ่งตกลงจะให้นั้นจะมอบให้ฝ่ายหญิงก่อนสมรสหรือหลังสมรสก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมอบให้ขณะทำสัญญาว่าจะให้ ทั้งไม่จำเป็นต้องมอบสินสอดให้ขณะที่ทำการหมั้น ซึ่งต่างกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาหมั้น 2. ต้องเป็นของฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองของหญิง บุคคลอื่นนอกจากนี้ไม่มีสิทธิเรียกหรือรับสินสอด เช่น หญิงบรรลุนิติภาวะแล้วและไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองรับหมั้นและตกลงจะสมรสกับชายด้วยตัวเอง แล้วเรียกเงิน 200, 000 บาทเป็นสินสอด แม้ชายจะมอบเงินให้ตามคำเรียกร้องก็ตาม เงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ใช่สินสอด แต่เป็นการให้โดยเสน่หา 3. ให้เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ทรัพย์สินที่เป็นสินสอด เมื่อได้มอบไปแล้วย่อมตกเป็นกรรมสิทธิเด็ดขาดแก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองหญิงโดยทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีการสมรสกันก่อน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้โดยมีเจตนาที่ชายและหญิงจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ฉะนั้น การที่ชายมอบเงินให้แก่มารดาหญิงเพื่อขอขมาในการที่หญิงตามไปอยู่กินกับชาย โดยชายหญิงไม่มีเจตนาสมรสกันตามกฎหมายนั้น ไม่ใช้สินสอดหรือของหมั้น เมื่อต่อมาหญิงไม่ยอมอยู่กินกับชาย ชายจึงเรียกเงินคืนไม่ได้ (ฎ.
ยาง ย อย Coupling, 2024